แนวคิดและองค์ประกอบ
แนวคิด
ปัจจุบันองค์การธุรกิจได้นำระบบสารสนเทศมาใช้ร่วมกับเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงและต้นทุนการใช้งานต่ำ เช่น ระบบคอมพิวเตอร์และระบบเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ต เป็นต้น จึงก่อให้เกิดสารสนเทศหลากหลายรูปแบบ
องค์ประกอบ
1. ฐานข้อมูล หมายถึง หน่วยเก็บและรวบรวมข้อมูลที่มีประโยชน์ ซึ่งพร้อมสำหรับการให้บริการเรียกใช้ข้อมูลได้ทุกเวลาที่ผู้ใช้ต้องการ
2. การสื่อสาร หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยด้านการสรรหาข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่างๆและส่งผ่านข้อมูลมาจัดเก็บในระบบคอมพิวเตอร์ที่เป็นแหมาย
3. เครือข่าย หมายถึง การเชื่อมโยงข้อมูลภายในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการเชื่อมโยงระบบประยุกต์และฐานข้อมูลเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องสามารถสื่อสารกันได้
4. การวิเคราะห์ข้อมูล หมายถึง กระบวนการที่ใช้วิเคราะห์และประมวลผลข้อมวลให้อยู่ในรูปแบบของสารสนเทศที่สามารถนำไปใช้ตัดสินใจได้ทันที
5. การพัฒนากลยุทธ์ หมายถึง กระบวนการกำหนดกลยุทธ์ด้านระบบสารสนเทศที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ธุรกิจ ตลอดจนสภาพแวดล้อมของธุรกิจซึ่งเป็นอยู่ในขณะนั้นตลอดจนการปรับปรุงแนวทางการวิเคราะห์ข้อมูลให้ทันสมัยตลอดเวลาด้วย
การจัดการ
สำหรับ องค์การที่มีการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจจะช่วยในด้าน การนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่อบุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์การและใช้เป็นเครื่อง มือช่วยจัดการงานด้านต่างๆ
แนวคิดและความหมาย
สำหรับฟังก์ชันด้านการจัดการ สามารถจำแนกได้ 5 ประการ
1. การวางแผนเป็นหน้าที่แรกซึ่งเกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมาย กลยุทธ์ กรอบแนวคิด กระบวนการ ตลอดจนการประสานงานในกิจกรรมต่างๆ
2. การจัดองค์การเป็นการกำหนดกิจกรรมที่ต้องทำบุคลากรผู้รับผิดชอบ อำนาจหน้าที่ กลุ่มงาน รวมทั้งสายการบังคับบัญชา
3. การจัดบุคคลเข้าทำงาน เป็นการจัดวางบุคคลให้เหมาะสมกับงานทั้งด้านคุณภาพของบุคคลและปริมาณแรงงานที่ต้องการ ตลอดจนการพัฒนาบุคคลให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง
4. การนำเป็นการสั่งการหรือจูงใจให้ทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างเต็มความสามารถเพื่อการบรรลุเป้าหมายและประโยชน์สูงสุดขององค์การ
5. การควบคุมเป็นการกำหนดเกณฑ์และมาตรฐานงานเพื่อการตรวจสอบและประเมินผลการปฏิบัติงาน จากนั้นจึงทำการแก้ไขเพื่อให้สามารถดำเนินการได้บรรลุเป้าหมาย
ผู้จัดการและผู้บริหาร คือบุคคลที่ทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเป็นผู้ประสานงานในการดำเนินกิจกรรมต่างๆระหว่างแผนกงาน ทีมงานและบุคคลภายนอกองค์การ โดยทั่วไปแล้ว มีการจำแนกผู้จัดการและบริหารเป็น 3 ระดับ
1. ผู้บริหารระดับสูง คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ส่วนบนสุดของโครงสร้าง โดยรับผิดชอบด้านการจัดการเชิงกลยุทธ์
2. ผู้จัดการระดับกลาง คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานและรับผิดชอบสำหรับงานด้านการจัดการเชิงปฏิบัติการ โดยจัดทำแผนระยะปานกลาง
3. ผู้จัดการระดับล่าง คือ ผู้ที่ปฏิบัติงานและรับผิดชอบสำหรับงานด้านการจัดการเชิงปฏิบัติการ โดยจะมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานของบุคคลผู้ปฏิบัติงานในแต่ละส่วนงานให้เป็นไปตามแผนเชิงกลวิธี
บทบาททั่วไปของผู้บริหารและผู้จัดการทั้ง 3 ระดับ
ระดับที่ 1 ด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลซึ่งจำแนกได้ 3 บทบาท
1. การเป็นตัวแทนและภาพลักษณ์ที่เป็นรูปธรรมขององค์การ
2. การเป็นผู้นำองค์การกระตุ้นพนักงานให้ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่
3. การประสานงานกับบุคคล หรือกลุ่มบุคคล เพื่อสร้างความราบรื่นด้านการดำเนินงานขององค์การ
ระดับที่ 2 ด้านข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจำแนกได้ 3 บทบาท คือ
1. การเป็นตัวกลางด้านการไหลเวียนข่าวสารและติดตามตรวจสอบข้อมูล
2. การเป็นผู้กระจายข่าวสารให้พนักงานรับทราบ
3. การเป็นโฆษกที่ทำหน้าที่กระจายข่าวสารขององค์การไปสู่ภายนอก
ระดับที่ 3ด้านการตัดสินใจซึ่งจำแนกได้ 3 บทบาท
1. การเป็นผู้ประกอบการโดยการคิดค้นและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ
2. การเป็นนักแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปและเป็นคนกลางคอยตัดสินปัญหานั้น
3. การเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรซึ่งมีปริมาณจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
การตัดสินใจ
1. แนวคิดและความหมาย
การตัดสินใจ คือ กระบวนการที่ใช้แก้ไขปัญหาที่เกิดจากการดำเนินการด้านต่างๆของธุรกิจตามลำดับขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไข
ขั้นตอนที่ 2 เลือกวิธีการแก้ปัญหา
ขั้นตอนที่ 3 เก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างแบบจำลองการตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 4 ระบุทางเลือกที่ได้จากแบบจำลองการตัดสินใจ
ขั้นตอนที่ 5 ประเมินข้อดีและข้อเสียของแต่ละทางเลือก
ขั้นตอนที่ 6 เลือกและปฏิบัติตามแนวทางแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
2. แบบจำลองการตัดสินใจและการแก้ปัญหา มี 5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นอัจฉริยะ คือ ขั้นของจำแนกและนิยามถึงปัญหาและโอกาสทางธุรกิจไว้อย่างชัดเจน
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นออกแบบ คือ ขั้นของการพัฒนาทางเลือกของการแก้ปัญหาที่หลากหลายด้วยวิธีการต่างๆเป็นขั้นการประดิษฐ์
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นตัวเลือก คือ ขั้นของการเลือกชุดปฏิบัติการที่ดีที่สุดโดยใช้เครื่องมือสื่อสาร
ขั้นตอนที่ 4 ขั้นทำให้เกิดผล คือ ขั้นของการนำชุดปฏิบัติการที่เลือกไว้ในขั้นตัวเลือกไปใช้ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามที่คาดไว้ล่วงหน้า
ขั้นตอนที่ 5 ขั้นกำกับดูแล คือ ขั้น ของการประเมินผลชุดปฏิบัติการที่ถูกนำไปใช้โดยผู้ตัดสินใจและติดตามผลลัพธ์ ของการตัดสินใจว่าสามารถจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่
3. การจำแนกประเภท โดยจัดแบ่งประเภทของการตัดสินใจของผู้จัดการหรือผู้บริหาร ทั้ง 3 ระดับ เป็น 3 ประเภท
3.1 การตัดสินใจแบบมีโครงสร้าง เป็นการตัดสินใจของปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำ
3.2 การตัดสินใจแบบกึ่งโครงสร้างเป็นการตัดสินใจซึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่มักใช้กฎเกณฑ์เพียงบางส่วน การตัดสินใจจึงอาศัยวิจารณญาณเข้าช่วยร่วมกับการใช้สารสนเทศช่วยตัดสินใจซึ่งมักใช้กับการทำงานของผู้จัดการระดับกลางในองค์การ
3.3 การตัดสินใจแบบไม่มีโครงสร้าง เป็นการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก ไม่เป็นงานประจำ ไม่มีกรอบการทำงาน และไม่สามารถสร้างแบบจำลองในการแก้ปัญหาได้
4. รูปแบบการตัดสินใจ จะจัดแบ่งการตัดสินใจออกเป็น 2 ระดับ
4.1 ระดับบุคคล เป็นระดับการตัดสินใจในส่วนการใช้แบบแผนการรับรู้ซึ่งสามารถเลือกแนวทางและการประเมินค่าผลที่ตามมาได้ 2 รุปแบบ ดังนี้
รูปแบบที่ 1 การตัดสินใจอย่างเป็นระบบ คือ การใช้วิธีศึกษาปัญหาอย่างมีระเบียบแบบแผน โดยทำการเก็บรวบรวมข้อมูล และประเมินค่าข่าวสารตามวิธีการเลือกใช้อย่างเป็นระบบ
รูปแบบที่ 2 การตัดสินใจโดยใช้สามัญสำนึก คือ การใช้วิธีการลายรูปแบบมาผสมผสานกัน ตลอดจนใช้วิธีลองผิดลองถูกในการค้นหาทางปฏิบัติโดยไม่มีการประเมินค่าข่าวสารที่รวบรวมได้ ซึ่งการนำไปใช้จะขึ้นกับลักษณะงาน
4.2 ระดับองค์การ เป็นระดับการตัดสินใจที่ถูกกระทำโดยกลุ่มบุคคลภายในองค์การโดยให้ความสำคัญกับโครงสร้างและนโยบายเป็นสำคัญ โดยแบ่งรูปแบบการตัดสินใจในระดับนี้เป็น 3 รูปแบบดังนี้
รูปแบบที่1 การตัดสินใจตามรูปแบบราชการ คือ รูปแบบที่ใช้ในองค์การที่ปฏิบัติงานมาหลายปีและแบ่งหน่วยงานออกเป็นหลายหน่วยย่อย
รูปแบบที่ 2 การตัดสินใจตามรูปแบบการปกครอง คือ รูปแบบที่ใช้ในองค์การที่มีการยกอำนาจการปกครองอยู่ในมือบุคคลเพียงไม่กี่บุคคล
รูปแบบที่ 3 การตัดสินใจตามรูปแบบขยะ คือรูแบบการตัดสินใจที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานการใช้เหตุผล การตัดสินใจมักเกิดขึ้นจากความบังเอิญมากกว่าแต่ผู้แก้ปัญหาจะพยายามหาเหตุผลมาสนับสนุนวิธีการแก้ปัญหาของแต่ละคน
สารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ
สารสนเทศเพื่อการจัดการมีคุณลักษณะที่ดี 7 ประการ คือ
1. สารสนทศที่ช่วยให้ผู้บริหารทราบสถานการณ์ปัจจุบันหรือระดับผลงานที่ทำได้
2. สารสนเทศด้านปัญหาจากการดำเนินงานและรายงานด้านโอกาสที่กำลังจะเกิดขึ้น
3. สารสนทศด้านการเปลี่ยนแปลงที่มักส่งผลให้การดำเนินงานของธุรกิจหยุดชะงัก
4. สารสนเทศเกี่ยวกับแผนงานหรือโครงการใหม่ที่กำลังจะเริ่มต้นในอนาคตอันใกล้
5. สารสนเทศที่แจ้งให้ทราบถึงผลดำเนินงานของธุรกิจ ทั้งในส่วนผลประกอบการ ส่วนแบ่งตลาดและยอดขายในช่วงฤดูกาลต่างๆรวมทั้งผลดำเนินงานที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
6. สารสนเทศภายนอกเกี่ยวกับข้อคิดเห็น ข่าวเกี่ยวกับองค์การ คู่แข่งแลการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด้านการเงิน การตลาด เศรษฐกิจและการเมือง
7. สารสนเทศที่แจกจ่ายออกสู่ภายนอก เพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้นและผู้สื่อข่าวทราบ เช่น รายงานารายรับช่วงไตรมาส หรือรายละเอียดแผนบริการสาธารณชน
จำแนกประเภทของสารสนเทศเพื่อการจัดการและการตัดสินใจ ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. รายงานตามกำหนดการ คือ รายงานที่ผลิตขึ้นตามงวดเวลาหรือตามตารางเวลาที่วางไว้
2. รายงานตัวชี้วัดหลัก คือ รายงานสรุปถึงกิจกรรมวิกฤตของวันก่อนหน้านี้และใช้เป็นแบบฉบับของการเริ่มตนกิจกรรมใหม่ รายงานเหล่านี้จะสรุปถึงระดับสินค้าคงเหลือ กิจกรรมผลิต ปริมาณขาย และอื่นๆ โดยมักมีการนำเสนอต่อผู้จัดการและผู้บริหาร เพื่อการดำเนินการที่รวดเร็วและถูกต้องของธุรกิจ
3. รายงานตามคำขอ คือ รายงานที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อนำเสนอสารสนเทศตามที่ผู้ใช้ร้องขอหรือ อีกนัยหนึ่งคือการผลิตรายงานตามความต้องการของผู้ใช้
4. รายงานตามยกเว้น คือ รายงานที่มักมีการผลิตขึ้นอย่างอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ผิดกติหรือเกิดความต้องการพิเศษทางการจัดการ
5. รายงานเจาะลึกในรายละเอียด คือ รายงานที่ช่วยสนับสนุนรายละเอียดที่เพิ่มขึ้นภายใต้สถานการณ์ การใช้รายงานประเภทนี้นักวิเคราะห์จะมองข้อมูลในภาพรวมก่อน
กระบวนการทางธุรกิจของระบบสารสนเทศ
มีระบบย่อยที่สัมพันธ์กัน 4 ระบบคือ
1. ระบบประมวลผลธุรกรรมถูกนำมาประยุกต์ใช้กับระบบงานทั่วไปของธุรกิจ โดยมุ่งเน้นเป้าหมายด้านการลดต้นทุนและการสร้างวิธีการทำงานประจำอย่างอัตโนมัติ ระบบประมวลผลธุรกรรมหรือ ที พีเอส คือ ชุดขององค์ประกอบต่างๆ เช่น บุคลากร กระบวนการ ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลและอุปกรณ์ ซึ่งถูกรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนำมาใช้บันทึกรายการเปลี่ยนแปลงทาง ธุรกิจอย่างสมบูรณ์แบบ การสร้างความเข้าใจถึง ทีพีเอส จำเป็นต้องเข้าใจพื้นฐานการดำเนินงานตลอดจนหน้าที่ทางธุรกิจ
2. ระบบ สารสนเทศเพื่อการจัดการหรือ เอ็มไอเอส หมายถึง ระบบที่ใช้สนับสนุนการทำงานของผู้จัดการระดับล่าง และระดับกลางเพื่อการนำเสนอรายงาน ข้อมูลทั่วไป ข้อมูลเฉพาะด้านและข้อมูลในอดีตซึ่งมุ่งเน้นที่การตอบสนองความต้องการของ บุคลากรภายในองค์การ เอ็มไอเอส เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความได้เปรียบเชิงการแก่องค์การโดยการสนับสนุน ด้านสารสนเทศทีถูกต้องต่อบุคคลที่ถูกต้อง ใช้รูปแบบการนำเสนอที่ถูกต้องละถูกเวลาโดยจุดมุ่งหมายของระบบ คือ ให้การสนับสนุนด้านการบรรลุเป้าหมายของการบริหารงานในองค์การ
3. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ จำแนกเป็น 5 หัวข้อย่อยดังนี้
3.1 แนวคิดและความหมาย ระบบ สนับสนุนการตัดสินใจ หรือ ดีเอสเอส คือ ระบบที่พัฒนาขึ้นใช้สนับสนุนการตัดสินใจสำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะเรื่อง โดยจุดมุ่งหมายก็คือ การตัดสินใจอย่างมีประสิทธิผล โดยเอ็มไอเอสจะให้การสนับสนุนองค์การทำสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ระบบการสนับสนุนการตัดสินใจ หรือ ดีเอสเอส หมาย ถึงระบบสารสนเทศบนพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีการเก็บรวบรวมตัวแบบและข้อมูลเข้าด้วยกันเพื่อแก้ปัญหากึ่งโครงสร้าง และปัญหาไม่มีโครงสร้างซึ่งมักครอบคลุมการตัดสินใจของผู้ใช้และเป็นระบบที่ แสดงถึงแนวโน้มหรือปรัชญามากกว่าหลักการที่ถูกต้องแม่นยำ
3.2 สมรรถภาพของระบบ สมรรถภาพโดยรวมของระบบ มีดังนี้
1. สามารถใช้ดีเอสเอสได้ในทุกระดับชั้นของผู้บริหารไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจรายบุคคลหรือรายกลุ่มก็ตาม
2. สามารถใช้ดีเอสเอส ทั้งในส่วนการตัดสินใจเชิงสัมพันธ์และเชิงลำดับชั้น
3. สาม รถใช้ดีเอสเอสได้ทุกระยะของกระบวนการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นขั้นอัจฉริยะ ขั้นออกแบบ ขั้นตัวเลือก ขั้นทำให้เกิดผลและขั้นกำกับดูแล อีกทั้งสามารถใช้ได้กับทุกๆรูปแบบการตัดสินใจ
4. ผู้ใช้สามารถรับระบบให้เหมาะสมกับการใช้งานภายใต้เวลา และสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงขณะ
5. ระบบที่ใช้มักง่ายต่อการสร้างและสามารถใช้ได้สำหรับหลายกรณี
6. ระบบ ที่ใช้จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้เพิ่มเติมในอนาคต อันเป็นหนทางที่จะนำไปสู่คำขอใหม่ๆและการกลั่นกรองระบบประยุกต์ที่ใช้อยู่ใน ปัจจุบัน
7. ระบบที่ใช้ประกอบด้วยตัวแบบเชิงปริมาณที่เป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ข้อมูล
8. ระบบ ดีเอสเอสชั้นสูงมักจะถูกใช้เป็นเครื่องมือภายใต้การจัดการความรู้โดยสนับ สนุนการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนมาๆอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล
9. ระบบ อาจถูกใช้สนับสนุนการปฏิบัติการ ด้านการวิเคราะห์ความไว ซึ่งมีการใช้ตัวแบบทางคณิตศาสตร์และตัวแบบอื่นๆที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่ม สมรรถภาพพิเศษในการใช้งาน
3.3 ลักษณะเฉพาะของระบบ หลักเกณฑ์พิเศษซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของดีเอสเอส มี 3 ข้อ คือ
3.3.1 การ วิเคราะห์ความไว คือ การศึกษาผลกระทบของการใช้ตัวแบบในส่วนต่างๆของระบบ ที่สามารถตรวจสอบผลกระทบด้านการเปลี่ยนแลงของตัวแปรนำเข้าที่มีต่อตัวแปร ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจ
3.3.2 การค้นหาเป้าหมาย คือ กระบวนการกำหนดข้อมูลที่เป็นปัญหาซึ่งต้องการคำตนอบของการแก้ปัญหานั้น
3.3.3 การจำลอง เป็นความสามารถหนึ่งของดีเอสเอส โดยทำการสำเนาลักษณะของระบบจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะมีความเป็นไปได้หรือความไม่แน่นอนรวมอยู่ด้วย
3.4 โครงสร้างและส่วนประกอบของระบบ ส่วนประกอบของดีเอสเอสอย่างน้อยที่สุด ควร จะต้องประกอบด้วย ระบบการจัดข้อมูล ระบบจัดการตัวแบบ ส่วนต่อระสานกับผู้ใช้และผู้ใช้ขั้นปลาย ในส่วนดีเอสเอสชั้นสูงจะประกอบด้วยระบบการจัดความรู้ อธิบายได้ดังนี้
3.4.1 ระบบ จัดการข้อมูลในส่วนการจัดการข้อมูลของดีเอสเอส จะคล้ายคลึงกับระบบอื่นๆซึ่งบรรจุข้อมูลที่ไหลเวียนจากหลายแหล่งและถูกนำ มาสกัดเป็นข้อมูลเพื่อเข้าสู่ฐานข้อมูลของดีเอสเอส
3.4.2 ระบบ การจัดการตัวแบบ ซึ่งบรรจุตัวแบบที่สมบูรณ์ในฐานตัวแบบและมีการสร้างแม่พิมพ์ตัวแบบที่จำเป็น ต่อการใช้งานของระบบ โดยมักใช้ตัวแบบเชิงปริมาณสำหรับซอฟต์แวร์มาตรฐานด้านการเงิน สถิติ และวิทยาการจัดการ
3.4.3 ส่วน ต่อประสานกับผู้ใช้ จะครอบคลุมถึงการสื่อสารระหว่างผู้ใช้ระบบในบางระบบที่ถูกพัฒนาอย่างชำนาญ การ ส่วนต่อประสานของระบบนั้นจะถือเป็นส่วนประกอบที่สำคัญของดีเอสเอส อันเนื่องมาจากความยืดหยุ่นและเครื่องมืออำนวยความสะดวกให้ใช้งานง่าย
3.4.4 ผู้ ใช้ขั้นปลาย คือ บุคคลซึ่งเผชิญหน้ากับปัญหาหรือการตัดสินใจ ซึ่งก็คือผู้จัดการหรือผู้ตัดสินใจ โดยมีการพิจารณาผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่งของระบบ
3.4.5 ระบบ จัดการความรู้ ใช้สำหรับการแก้ปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้างที่ล้วนแต่มีความซับ ซ้อน ซึ่งต้องการความรู้ความชำนาญมาช่วยหาคำตอบของปัญหาเหล่านั้น
3.5 กระบวน การทำงาน ส่วนปรกอบของดีเอสเอส คือ ซอฟต์แวร์ทั้งหมด ที่ทำงานบนพื้นฐานของฮาร์ดแวร์มาตรฐาน และสามารถเพิ่มเติมซอฟต์แวร์ในส่วนสนับสนุนการใช้งาน
ระบบสนับสนุนผู้บริหาร
เนื่อง ด้วยผู้บริหารระดับกรรมการบริษัท มักจะต้องการรายงานพิเศษ เพื่อใช้สนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์หลายๆบริษัท จึงได้มีการพัฒนาระบบช่วยสนับสนุนการตัดสินใจของผู้บริหารโดยการพัฒนาระบบ สนับสนุนผู้บริหาร ระบบสนับสนุน ผู้บริหาร หรืออีเอสเอส ในบางครั้งอาจเรียกว่าระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง คือ ระบบซึ่งประกอบด้วย ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ข้อมูล กระบวนคำสั่ง และบุคลากร ที่ใช้สนับสนุนงานด้านการตัดสินใจของผู้บริหารระดับอาวุโสหรือคณะกรรมการบริษัทที่รับผิดชอบต่อส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้น ช่วยผู้บริหารติดตามความก้าวหน้าของบริษัท มีระบบ 3 ระบบดังนี้
4.1 วิสัย ทัศน์ อีเอสเอส คือ รูปแบบพิเศษของระบบที่ใช้เพื่อการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ของผู้ บริหารระดับสูง ซึ่งมีความแตกต่างจากดีเอสเอสในด้านการใช้งาน โดย ดีเอสเอส มักถูกใช้เพื่อสนับสนุนการจำลองที่หลากหลายรูปแบบ
4.2 คุณลักษณะ อีเอสเอสมักจะประกอบด้วยคุณลักษณะทั่วไปดังนี้
1. เป็น ระบบเชิงโต้ตอบซึ่งถูกสั่งทำโดยผู้บริหารรายบุคคล โดยส่งมอบเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้บริหารเล็งเห็นส่วนรวม กลั่นกรองและจัดโครงสร้างข้อมูลและสารสนเทศ
2. เป็นระบบที่ไม่ซับซ้อนง่ายต่อการเรียนรู้และใช้งาน
3. เป็นระบบที่มีความสามารถเจาะลึกในรายละเอียดของข้อมูล
4. เป็นระบบที่สนับสนุนความต้องการข้อมูลภายนอกองค์การ มีคุณค่าต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ โดยทำการคัดเลือกประโยชน์ต่อการตัดสินใจออกมา
5. เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจภายใต้สภาวการณ์ที่ไม่แน่นอน และยังเป็นเครื่องมือช่วยวัดความเสี่ยงสำหรับการตัดสินใจ
6. เป็นระบบที่ใช้กำหนดทิศทางในอนาคตขององค์การ และผลลัพธ์ของการตัดสินใจครั้งหนึ่งจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินการเป็นระยะเวลาหลายปี
7. เป็น ระบบที่ถูกเชื่อมโยงด้วยมูลค่าเพิ่มของกระบวนการทางธุรกิจ เช่น การนำอีเอสเอสมาใช้ในบริษัทรถยนต์เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มการเช่ารถยนต์ใน อนาคต
4.3 สมรรถภาพของระบบ ผู้บริหารจำเป็นต้องใช้อีเอสเอสที่มีสรรถภาพ ดังนี้
4.3.1 การสนับสนุนด้านการกำหนดวิสัยทัศน์ขององค์การ ซึ่งเป็นงานหลักที่สำคัญของผู้บริหารระดับสูง
4.3.2 การสนับสนุนด้านการวางแผนกลยุทธ์ โดยเป็นเครื่องมือช่วยกำหนดวัตถุประสงค์ระยะยาว วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์การ
4.3.3 การ สนับสนุนด้านการจัดองค์การและการจัดคนเข้าทำงาน โดยใช้วิเคราะห์ผลกระทบต่อการตัดสินใจด้านการจัดคนเข้าทำงาน การยกระดับการจ่ายเงินเดือน
4.3.4 การ สนับสนุนด้านการควบคุมกลยุทธ์ซึ่งเป็นเครื่องมือด้านการติดตาม ดูแลการดำเนินงานในภาพรวมขององค์การ การแสวงหาเป้าหมาย การจัดสรรทรัพยากร รวมทั้งการควบคุมทิศทางการดำเนินงานขององค์การ
4.3.5 การ สนับสนุนด้านการจัดการเชิงวิกฤต โดยองค์การอาจต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆ อีเอสเอสจะช่วยจัดทำแผนฉุกเฉินซึ่งช่วยฟื้นฟูองค์การในสภาวะวิกฤต
เทคโนโลยีทางการจัดการ
1. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม การ ทำงานในองค์การจำเป็นต้องมีการตัดสินใจร่วมกันของกลุ่มร่วมงานบ่อยครั้ง และสำหรับองค์การที่มีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์สนับสนุนการตัดสินใจ ที่จัดอยู่ในรูปแบบของระบบสนับสนุนการตัดสินใจกลุ่มหรือจีดีเอสเอส โดยจัดแบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ แบบที่ 1 เมื่อสมาชิกของกลุ่มตัดสินใจอยู่ในที่เดียวกัน และแบบที่ 2 เมื่อสมาชิกของกลุ่มตัดสินใจอยู่ต่างสถานที่กัน ซึ่งรูปแบบนี้เรียกว่า กลุ่มเสมือน
ระบบ สนับสนุนการตัดสินใจกลุ่ม คือ ระบบพื้นฐานของการใช้คอมพิวเตอร์เชิงโต้ตอบ ที่อำนวยความสะดวกด้านการค้นหาคำตอบของปัญหากึ่งโครงสร้างและไม่มีโครงสร้าง
คุณลักษณะสำคัญของจีดีเอสเอส ซึ่งจะนำมาลบล้างการปฏิบัติหน้าที่ของกลุ่มร่วมงานที่มักเกิดความขัดแย้งของกระบวนการกลุ่มดังนี้
1. การ ไม่ระบุชื่อผู้นำเข้า โปรแกรมจีดีเอสเอส ส่วนใหญ่มักเปิดโอกาสให้มีการนำเข้าข้อมูลเพื่อโต้ตอบการประชุม โดยไม่ต้องระบุชื่อผู้นำเข้า
2. การ ลดพฤติกรรมกลุ่มด้านการคัดค้าน การที่โปรแกรมจีดีเอสเอสเปิดโอกาสให้คีย์ข้อมูลเข้าเพียงครั้งเดียว จะช่วยให้สามารถกำจัดพฤติกรรมกลุ่มที่ส่งผลเสียต่อการตัดสินใจ สำหรับบางกลุ่มร่วมงานที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน อำนาจที่ครอบงำส่วนบุคคลสามารถควบคุมผลลัพธ์ที่ได้จากการตัดสินใจให้เป็นไป ตามที่ตนต้องการ
3. การ สื่อสารทางขนาน ตามวัฒนธรรมการประชุมแบบเดิม บุคคลจะต้องเปลี่ยนหัวข้อประชุมตามรายงานการประชุม โดยมีการพูดของบุคคลเดียวภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากใช้โปรแกรมจีดีเอสเอสสำหรับการจัดการประชุม สมาชิกทุกๆคนจะสามารถออกความคิดเห็นในเวลาเดียวกัน
การใช้ระบบสนับสนุนด้านเครือข่าย จึงก่อเกิดการประชุม 3 รูปแบบใหม่ ดังนี้
1. เครือข่ายตัดสินใจเฉพาะที่ จะสามารถใช้รูปแบบนี้ในกรณีที่ผู้ตัดสินใจอยู่ภายใต้อาคารเดียวกัน หรืออยู่ในพื้นที่ภูมิศาสตร์เดียวกัน อีกทั้งยังมีความถี่ของการตัดสินใจบ่อยครั้ง
2. การ ประชุมทางไกล มักจะถูกใช้เมื่อความถี่ของการตัดสินใจต่ำ และสมาชิกของการตัดสินใจอยู่ห่างไกลกันคนละพื้นที่ระยะทางและโอกาสของการ จัดการประชุม
3. เครือ ข่ายตัดสินใจบริเวรกว้าง มักใช้สำหรับกรณีที่มีความถี่ของการตัดสินใจสูงและแหล่งที่อยู่ของสมาชิก อยู่ห่างไกลกัน ซึ่งกรณีนี้ผู้ตัดสินใจอาจต้องการใช้ระบบบ่อยครั้งและอยู่คนละสถานที่ทั่ว ประเทศหรือทั่วโลก
2. ห้อง ตัดสินใจ เป็นสถาการณ์ในอุดมคติ ซึ่งถูกติดตั้งในอาคารเดียวกันกับผู้ตัดสินใจหรือในพื้นที่ภูมิศาสตร์เดียว กัน และผู้ตัดสินใจ คือผู้ใช้เฉพาะกาลของจีดีเอสเอส ในกรณีนี้ห้องตัดสินใจหรืออุปกรณือำนวยความสะดวกจะถูกติดตั้งให้เหมาะสมภาย ใต้ระบบกลุ่มงาน
3. ปัญญา ประดิษฐ์ ระบบที่ตั้งอยู่พื้นฐานด้านความคิดปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งเป็นระบบลอกเลียนแบบคุณลักษณะอันชาญฉลาดของมนุษย์ ปัญญาประดิษฐ์จะประกอบไปด้วยสาขาย่อยที่หลากหลายสาขา เช่น วิทยาการหุ่นยนต์ ระบบภาพ การประมวลภาษาธรรมชาติ
4. ระบบ ผู้เชี่ยวชาญ คือ ระบบคอมพิวเตอร์ ที่สามารถแนะนำและกระทำดังเช่นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขานั้นๆ มูลค่าพิเศษของระบบผู้เชี่ยวชาญ คือ การให้เครื่องมือในการจับและใช้ความรอบรู้ของผู้เชี่ยวชาญหรือผู้เชี่ยวชาญ พิเศษ
5. ความเป็นจริงเสมือน คือ การจำลองความจริงและสภาพแวดล้อมที่ถูกคาดการณ์ขึ้นด้วยแบบจำลอง 3 มิติ
โลกเสมือน คือ การแสดงระดับเต็มที่สัมพันธ์กับขนาดของมนุษย์ โดยการติดตั้งรูปแบบ 3 มิติ ความจริงหรือนามธรรม สำหรับอุปกรณ์รับเข้าของความเป็นจริงเสมือนที่หลากหลาย เช่น จอภาพศีรษะ ถุงมือข้อมูล ก้านข้อมูล และคทามือถือ ความเป็นจริงเสมือนสามารถใช้อ้างอิงถึงระบบกึ่งประยุกต์ เช่น การใช้เมาส์เพื่อควบคุมการนำทางผ่านสิ่งแวดล้อม 3 มิติบนจอภาพกราฟิก
( เอกสารอ้างอิง รุจิจันทร์ พิริยะสงวนพงศ์. สารสนเทศทางธุรกิจ. )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น